banner-sergery

ปัญหาเคสแก้ไขจมูก ที่ผมพบเจอบ่อย คือ ผู้รับบริการ ไปศัลยกรรม ตามดารา ที่ชื่นชอบ แล้วไม่สวยเหมือน ดาราคนนั้น

หรือ เลือกรูปทรงจมูก ไปก่อน โดยไม่ทราบ พื้นฐาน ของ Beauty concept ในแบบของคุณ

ดังนั้นผมจึง วินิจฉัยก่อน การให้ทางเลือกเสมอ

เพราะนี่คือศิลปะที่เราต้องทำงานร่วมกัน เป็นลายเซ็น ของเราทั้งสองที่จะช่วยกันประคับประคองไป จนถึงเป้าหมาย

เพิ่มเพื่อน

  • ให้ใบหน้าคมชัด มีมิติ

  •  ออกแบบใหม่เคสต่อเคส

  •  ทรงสโลปปลายพุ่ง หวานละมุน

  •  รับกับหน้าผากและใบหน้ามากสุด

  •  ยืดและตกแต่งรูปทรงจมูกให้โด่งขึ้น

เทคนิค CERS คืออะไร?

แก้จมูก ปรับทรง

  • ฟรี เนื้อเยื่อเทียมหรือเนื้อหลังหูราคา 7,500 บาทขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ว่าจะใช้แบบไหน

  • ฟรีเยื่อเทียมยืดผนังจมูกบริเวณปลาย (เทคนิค CERS ยืดแกนจมูก) มูลค่า 10,000 บาท

  • ฟรีชุดยากลับบ้านมูลค่า 500 บาท

  • ฟรีค่าเฝือกและค่าตรวจซ้ำ

  • ฟรีค่ายาชาแบบฉีด

  • ฟรีค่าตรวจเลือด

  • รับประกัน 6เดือน

  • **ผ่าตัดโดยคุณหมอศัลยกรรมตกแต่งโดยตรงที่มีประสบการณ์ในการทำศัลยกรรมมากกว่า 25 ปี

call-phone-free

“ผมเป็นแพทย์ที่ชอบงานศิลปะ และเป็นแพทย์ศัลยกรรม ที่มีประสบการณ์มามากกว่า 25 ปี”

ความสวยในแบบของคุณ อาจต้องการแพทย์ประสบการณ์ที่มีและความเข้าใจ

ปรึกษาฟรี ยินดีให้บริการ

banner-dr-k

FAQ

เสริมจมูกที่ อาร์ อาร์โบเต้ คลินิก ดีอย่างไร

Toggle content goes here, click edit button to change this text.

เเล้วทำไมต้องใช้ซิลิโคนแบบเหลาเองของอเมริกา?

ซิลิโคนสหรัฐอเมริกา(Medical Grade Silicone) ได้รับมาตรฐานพิเศษ มีความบริสุทธิ์ถึง 100% มีความปลอดภัยและคุณภาพดี ตัวซิลิโคนมีสีขาว เนื้อนิ่ม เนียน ละเอียดมาก และมีความยืดหยุ่นได้ดี และเป็นที่นิยมใช้ในการเสริมจมูกมากที่สุด เนื่องจากเนื้อของซิลิโคนมีความนิ่มปานกลาง และไม่นิ่มจนเกินไป สามารถเหลาเพื่อให้ได้ตามทรงที่คนไข้ต้องการและเข้ากับรูปหน้าของคนไข้ได้เป็นอย่างดีครับ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อบริเวณของสันจมูกค่อนข้างมาก หรือคนที่มีโครงจมูกที่ยาว จะทำให้จมูกหลังเสริมออกมาดูสวยเป็นธรรมชาติมากขึ้น

เสริมจมูก แบบ Close กับแบบ Open แตกต่างกันอย่างไร?

เสริมจมูกแบบ close (Closed Rhinoplasty) เสริมจมูกแบบปิด เป็นการศัลยกรรมจมูกโดยการเปิดแผลเล็ก ๆ ในรูจมูก 1 หรือ 2 ข้าง โดยใช้ยาชาในการผ่าตัด เพื่อใส่ซิลิโคนเข้าไป ซึ่งขนาดของซิลิโคนก็ขึ้นอยู่กับฐานและเนื้อจมูกของแต่ละคน เพราะหากใหญ่หรือโด่งจนเกินไปอาจเกิดปัญหาตามมาภายหลังได้
ข้อดี

  • ไม่เห็นแผลนอกจมูก
  • ใช้เวลาในการผ่าตัดไม่นาน
  • ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด
  • ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด

เสริมจมูกแบบ open (Opened Rhinoplasty) การเสริมจมูกที่เน้นการปรับแต่งโครงสร้างเพื่อแก้ไขความผิดปกติของจมูก เช่น แก้ไขสันจมูกที่เป็น Hump นูนชัดเจน, ลดขนาดฐานและปลายจมูกใหญ่, สันจมูกคด, เสริมเพื่อให้จมูกโด่งหรือมีปลายพุ่งมาก, แก้ไขจมูกงุ้ม เป็นต้น โดยเป็นการผ่าตัดที่ใช้วิธีดมยา แล้วทำการเปิดแผลบริเวณด้านหน้าระหว่างรูจมูกทั้ง 2 ข้าง เพื่อเปิดให้เห็นโครงสร้างจมูกชัดเจนทั้งหมด เพียงพอที่จะปรับแต่งโครงสร้างด้านในร่วมด้วยกับการใส่ซิลิโคนและเนื้อเยื่อเทียม แพทย์จึงสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ได้ทรงจมูกที่ต้องการ และใช้เทคนิคได้หลากหลาย รวมทั้งช่วยลดโอกาสการเบี้ยวเอียงและการทะลุของซิลิโคนได้มากกว่าการเสริมจมูกแบบปิด

วิธีนี้สามารถแก้ปัญหาจมูกได้ทุกรูปแบบ จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างจมูกโดยตรง อย่างไรก็ตาม การเสริมจมูกแบบเปิดจะทำให้เกิดแผลที่ปลายจมูก แต่จะจางลงภายใน 3-6 เดือน อีกทั้งยังต้องใช้เวลาในการผ่าตัด ระยะเวลาในการพักฟื้น และค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเสริมจมูกแบบปิด

เสริมจมูกแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ และการวินิจฉัยของแพทย์ เพราะปัญหาและพื้นฐานจมูกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากใครสนใจที่จะเสริมจมูกเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ทางที่ดีที่สุด ควรเข้ามาปรึกษาและประเมินอย่างละเอียดโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อ

หลังผ่าตัดศัลยกรรมมาใหม่ ๆ ทานอะไรได้บ้าง

1.น้ำ ถึงแม้น้ำจะไม่มีสารอาหาร แต่น้ำจัดเป็นองค์ประกอบสำคัญของร่างกาย การดื่มน้ำให้เพียงพอทำให้ร่างกายมีความชุ่มชื้น ส่งผลให้แผลผ่าตัดสมานกันได้เร็วขึ้น หากร่างกายอยู่ในสภาวะขาดน้ำจะทำให้เซลล์ผิวหนังตาย ทำให้รู้สึกเจ็บแผลมากขึ้นและบาดแผลหายช้า ดังนั้นควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้วต่อวันเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้นนั้นเอง

2.อาหารจำพวกโปรตีน เช่นเนื้อ นม ไข่ แล้วคนมีความเชื่อผิด ๆ ว่าอาหารจำพวกโปรตีนหรือไข่ไก่นั้น จะทำให้แผลหายช้า ซึ่งจริงๆ แล้วนั้น อาหารจำพวกโปรตีนนั้นมีประโยชน์ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย ทำให้ผิวหนังที่สร้างมาใหม่นั้นมีความแข็งแรง ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลติดเชื้อได้

3.อาหารที่มีส่วนประกอบของแร่ธาตุเหล็กและสังกะสี เช่นตับ ปลา และผักใบเขียวเข้ม เพราะแร่ธาตุเหล่านี้ ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนและคอลลาเจน  มีส่วนช่วยในการสมานแผลให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยควรกินแร่ธาตุพวกนี้อย่างน้อ 15 มิลลิกรัม

4.อาหารที่มีไขมันดี หลาย ๆ คน คงสงสัยว่าไขมันจะมีดีได้อย่างไร นอกจากจะทำให้เราอ้วนขึ้น ซึ่งไขมันดี คือไขมันที่มีส่วนช่วยในการสลายโปรตีน ทำให้แผลสมานได้เร็วขึ้น ซึ่งไขมันดีเหล่านี้พบได้ในน้ำมันมะกอก น้ำมันงา และถั่วต่าง ๆเป็นต้น

5.วิตามินซี ถือว่าเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมากเลยทีเดียว เพราะมีส่วนช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ลดอาการบวมชช้ำ และอักเสบ แถมช่วยทำให้บาดแผลสมานเร็วขึ้นอีกด้วย โดยวิตามินซีสามารถพบได้ในผัก และผลใม้หลายชนิด เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอ กีวี บร็อกโคลี่เป็นต้น

ทั้งนี้การรับประทานสิ่งเดียวในจำนวนมาก ๆ อาจจะทำให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะฉะนั้นควรจะกินอาหารตามหลักโภชนาการให้ครบ 5 หมู่ในสัดส่วนที่ถูกต้อง หรือตามที่คุณหมอผู้ดูแลแนะนำ ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านี่น การดูแลทำความสะอาดบาดแผล และการพักผ่อนที่เพียงพอก็เป็นส่วนสำคัญในการทำให้แผลสมานตัวเร็วขึ้นได้อีกเช่นกัน

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดศัลยกรรม

1.อาหารที่มีรสจัด อาหารประเภทรสจัดหลังจากรับประทานไปแล้ว จะทำให้มีน้ำมูกขึ้น และน้ำมูกจะนำพาเชื้อโรคเข้าสู่แผลที่เกิดจากการผ่าตัดได้ ซึ่งอาจทำให้แผลเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้

2.อาหารที่มีรสเค็ม เนื่องจากอาหารที่มีรสเค็มนี้ จะมีส่วนผสมของโซเดียมสูงทำให้เกิดอาหารบวม อาจจะส่งผลทำให้แผลหายช้า

3.อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ รวมทั้งอาหารหมักดองต่าง ๆ เช่น ส้มตำปลาร้า และหน่อไม้ดอง เป็นต้น อาหารจำพวกนี้ไม่ค่อยสะอาด และมักมีสารเคมีหรือสารผิดต่าง ๆ เจือปนอยู่ ซึ่งอาจะทำให้แผลติดเชื้อหรือส่งผลไม่ดีกับคนไข้ได้

4.เหล้า เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้การหมุนเวียนของเลือดผิดปกติ

5.อาหารที่เสี่ยงต่อการแพ้ เช่นอาหารทะเล และยา ต่างๆ ซึ่งอาการเพ้จะส่งผลกระทบต่อตัวของคนไข้ อาจจะทำให้อาการบาดเจ็บเพิ่มเป็น 2 เท่า

6.ยา และอาหารเสริมต่าง ๆ ควรงดทั้งก่อนและหลังผ่าตัดศัลยกรรม เพราะยา และอาหารเสริมนั้น จะส่งกระทบต่อตัวผู้ที่รับประทานเข้าไป อาจะทำให้เลือดออกมากหรือแผลหายช้า ซึ่งยาและอาหารเสริมนั้นควรได้รับการอนุญาติจากผู้ดูแลเท่านั้น

ทั้งหมดนี้คนไข้จะสามารถค่อย ๆ รับประทานได้หลังจากผ่านการผ่าตัดไปแล้ว 4 สัปดาห์ หรือจนกว่าคุณหมอผู้ดูแลจะอนุญาติ ทั้งนี้เรื่องความสะอาดและสุขลักษณะของอาหารเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน

ก่อน เสริมจมูกเตรียมตัวอย่างไร บ้าง

เตรียมตัวก่อนการศัลยกรรมเสริมจมูก

>>>เข้าพบแพทย์ เพื่อประเมิน โดยแพทย์จะให้คำแนะนำต่างๆ อาทิเช่น ข้อจำกัดในการเสริมจมูก ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด และการเตรียมตัวก่อนมาเสริมจมูก

1.ก่อนเข้ารับการผ่า ให้รับประทานอาหารและน้ำให้เรียบร้อย
2.หากมีโรคประจำตัว หรือแพ้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
3.งดรับประทานอาหารเสริม และงดยาที่ฤทธิ์ทำให้เลือดแข็งตัว
4.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเสริมจมูก 1 สัปดาห์
5.ขั้นตอนการศัลยกรรมเสริมจมูก
6.ศัลยแพทย์จะทำการประเมินรูปหน้าและทรงจมูก
7.ก่อนทำการผ่าตัดเสริมจมูก แพทย์จะทำความสะอาดจมูก หรือบริเวณที่จะผ่าตัด คนไข้ควรนอนนิ่งๆ
8.แพทย์ทำการฉีดยาชาบริเวณจมูกที่จะทำการผ่าตัด ในบางกรณีอาจเสริมยานอนหลับเพื่อให้ผู่ป่วยคลายกังวล
และไม่เกร็ง
9.เมื่อฉีดยาชาแล้วศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดจะทำการเปิดแผลจากบริเวณด้านในรูจมูก แล้วเลาะเนื้อเยื่อบริเวณจมูกเพื่อใส่ซิลิโคนที่เตรียมไว้ (แพทย์จะเหลาซิลิโคนในขณะที่รอยาชาออกฤทธิ์)
10.เมื่อใส่ซิลิโคนไปแล้ว หากยังไม่สมส่วนแพทย์อาจจะเอาซิลิโคนออกมาเพื่อเหลาหรือแต่งเพื่อให้รูปทรงสวยงาม เมื่อได้ทรงตามที่แพทย์เห็นสมควรแล้วก็จะเย็บปิดแผล

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเสริมจมูก
>>>หลังจากคนไข้เข้ารับการเสริมจมูกแล้ว สิ่งต่อไปที่คนไข้จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของศัลยแพทย์อย่างเคร่งครัด นั่นก็คือการดูแลตัวเองหลังศัลยกรรมจมูกดังนี้

1.นอนหมอนสูงในช่วง 3-7 วันแรกหลังผ่าตัดเสริมจมูก เพื่อลดอาการบวม
2.งดนอนตะแคงเป็นเวลา 1 สัปดาห์ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้จมูกเคลื่อนที่ผิดรูป
3.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
4.งดรับประทานอาหารรสจัดและของหมักดองอย่างเด็ดขาด
5.ล้างหน้าเบาๆ ด้วยสบู่อ่อนในช่วงแรก
6.หมั่นทำความสะอาดแผล โดยการใช้คัตเติลบัตชุบน้ำต้มสุกแล้วเช็ดบริเวณรอยแผลเบาๆ
7.หากจมูกมีอาการบวมหรือเลือดออกมากผิดปกติให้รีบเข้าพบแพทย์ทันที

การดูแลหลังเสริมจมูก

  ป่วยหรือมีโรคประจำตัว อย่าเพิ่งเสี่ยงทำจมูก ! ในรายที่มีความเสี่ยงหรือกำลังป่วยเป็นโรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเบาหวาน กลุ่มโรคเลือด เบาหวาน โรคไต และโรคภูมิแพ้ จำเป็นต้องปรึกษาศัลยแพทย์หรือรักษาให้หายดีเสียก่อน เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเรื่องแผลหายยากและเสี่ยงต่อการติดเชื้อของแผลได้มากกว่าคนปกติ

       ห้ามแคะ บีบ เกาจมูกและทำให้แผลโดนน้ำ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการทำศัลยกรรม ให้ใช้วิธีล้างหน้าด้วยการใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดเว้นบริเวณจมูกไว้ แม้จะมีสิวเสี้ยนหรือคันไม้คืนมืออยากเกา อยากบีบ อยากแคะแรง ๆ ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ยังไงก็ไม่ควรทำโดยเด็ดขาด

      ห้ามนอนคว่ำและนอนตะแคง ใครชอบนอนสองท่านี้สงสัยจะต้องเตรียมโบกมือลาอย่างถาวรแล้วล่ะค่ะ เพราะอาจทำให้จมูกเอียงรวมถึงทำให้แผลหายช้ามากกว่าเดิม ให้นอนหงายโดยการนอนหมอนสูงกว่าปกติประมาณ 1 สัปดาห์

       ห้ามออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะการออกกำลังกายประเภทที่ต้องใช้แรงมาก ๆ  เดี๋ยวก้มบ้าง เงยบ้าง ยิ่งต้องหยุดไปก่อนในช่วงเดือนแรก เพราะอาจทำให้ได้รับการกระทบเทือนได้ นอกจากนี้ยังควรระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากเด็กเล็กที่กำลังซนและสัตว์เลี้ยงภายในบ้านอีกด้วย

       งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารหมักดองและอาหารรสเผ็ดจัด โดยเฉพาะแอลกอฮอล์และบุหรี่ควรงดก่อนและหลังการทำจมูกอย่างน้อยเป็นเวลา 1 เดือน เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นผลกระตุ้นให้การทำงานของเลือดสูบฉีด จะมีการบวมและปวดจมูกมากกว่าปกติ นอกจากนี้ยังอาจทำให้แผลหายช้าและติดเชื้อได้ง่าย อีกทั้งยังควรงดรับประทานอาหารจำพวกของหมัก ของดองออกไปเสียก่อน เพราะจะยิ่งทำให้แผลหายช้า

       หลีกเลี่ยงการเผชิญฝุ่นละอองและควัน สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดการแพ้อากาศ รวมถึงอาการไอ จาม และสั่งน้ำมูก ดังนั้นจึงควรเตรียมตัวก่อนและหลังการผ่าตัดไม่ให้เป็นหวัดหรือมีน้ำมูก หากมีอาการควรรีบรับประทานยาแก้แพ้หรือยาลดน้ำมูกทันที

       งดกิจกรรมเสริมความงามเกี่ยวกับใบหน้า แม้จะอยากกดสิว, ทำทรีทเม้นท์ และไปยิงเลเซอร์ให้ผิวหน้าสวยเริ่ดสักแค่ไหน แต่การรบกวนด้วยการใช้มือกด นวด และการใช้เครื่องมือต่าง ๆ บนใบหน้าหรือใกล้เคียงกับบริเวณจมูกในขณะที่แผลยังไม่หายดี ก็อาจทำให้เกิดการอักเสบและเป็นอันตรายต่อตัวคุณเองได้ ดังนั้นควรอดใจรอเวลาอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไปแล้วทำการปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าแผลหายดีเสียก่อนค่อยเสริมสวยกันจะดีกว่านะคะ

call-phone-free